ทุกคนรู้จักทีวี ตั้งแต่เราเกิดมาก็มีทีวีแล้ว การดูทีวีเป็นเรื่องปกติของทุกบ้าน บ้านใครไม่มีทีวีสมัยนี้คงต้องนับว่าแปลกมาก ข่าวสารทั้งหลายเราก็ต้องติดตามทางทีวี นับได้ว่าทีวีมีประโยชน์มากมายมหาศาลเลยทีเดียว
แต่ของในโลกนี้มักมีสองด้านเสมอ มีดีก็ต้องมีเสีย ไม่มีอะไรดีทั้งหมดหรือแย่ไปทั้งหมด ทีีวีก็เช่นกันไม่มีข้อยกเว้นแต่อย่างใด ที่จะเล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์ของผมเอง ของครอบครัวผม ที่เกี่ยวกัีบทีวี
เดิมนั้น ผมชอบดูทีวีมาก ที่จริงคือชอบดูหนังกับดูข่าว เวลาอยู่บ้านก็จะเปิดทีวีก่อนเลย ตาไม่ได้ดูหูฟังก็ยังดี เดิมมีขนาด 14 นิ้ว ก็เปลี่ยนเป็น 21 นิ้วจอแบน (แต่ตัวมันอ้วนอยู่นะ หนักด้วย) เพื่อจะดูได้ชัดขึ้น มันส์ขึ้น พอแฟนเริ่มตั้งท้องก็ชอบดูมิวสิควีดีโอ ผมชอบเพลงพวก Metal ก็เปิดดูตลอด จนกระทั่งลูกคนแรกคลอดก็งดดูมิวสิคเพลงเมทัล เปลี่ยนมาเปิดซีดีการ์ตูนภาษาอังกฤษ เพลงโมสาร์ทแทน เพราะได้ยินเขาว่ามาว่าดีกับลูก ส่วนภาษาลูกก็จะได้ซึมซับแต่เด็ก
พอลูกอายุได้สัก 3 เดือนเริ่มงอแงมาก ก็เปิดซีดีการ์ตูนให้ดู จะได้เงียบ พ่อแม่จะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง ลูกก็เงียบจริงๆ ตาดูทีวีหัวเราะชอบใจ เราก็เห็นว่าได้ผล ถ้าอยากให้ลูกเงียบ หรืออยากขอเวลานอกสักพักก็จะใช้ทีวีมาเป็นตัวช่วย บางทีเล่นกับลูกก็ยังเปิดทีวี ลูกก็เล่นกับเราบ้างแต่ตาก็สนใจดูทีวี
ไม่ได้คิดอะไรจนลูกอายุ 2.5 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่จะต้องพูด แต่ลูกเราไม่พูด เอาแต่ร้องงอแงเวลาที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ ผมเริ่มคิดหนักว่าลูกเราเป็นอะไร คนก็บอกว่าไม่ต้องห่วงเด็กผู้ชายปากหนักกว่าผู้หญิง ผมฟังแล้วก็สบายใจขึ้นนิดนึงแต่ก็ยังกังวลอยู่ ผ่านไปอีกหลายเดือนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพูด จนผมต้องพาไปหาหมอหลายที่ หมดเงินไปเยอะมากแต่ก็ยอมเพราะอยากให้ลูกพูดได้ ถ้าลูกป่วยก็อยากให้ลูกหาย เสียอะไรเท่าไหร่ก็ยอม
สะเทือนใจที่สุดตอนที่หมอที่นึงบอกว่า จากผลการทดสอบ ลูกของคุณเป็น "ออทิสติก" คุณอ่านถูกแล้ว หมอบอกว่าเป็นออทิสติก ผมน้ำตาไหลพราก ร้องไห้อยู่หลา่ยวัน ผมทำอะไรกับลูกลงไปวะเนี่ย เรารักลูกแต่ทำไมเราเลี้ยงไม่ถูกวิธี ก็เลยนั่งคุยกับภรรยาช่วยกันหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร อ่านหนังสือหลายเล่มมากๆ แฟนผมไม่ยอมนอนค้นข้อมูลในเน็ตดูว่าต้องทำยังไง จนมาสรุปสาเหตุกันว่า เราให้ลูกดูทีวีมากเกินไป ลูกไม่ได้พูดคุยกับคน อยากกินนมก็เตรียมให้โดยไม่ทันต้องร้องไห้เสียด้วยซ้ำ ลูกไม่ได้วิ่งเล่นอย่างเพียงพอ กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ไม่ได้ใช้งาน ก็เลยเป็นสาเหตุที่หมอวิเคราะห์ออกมาแบบนั้น
แต่เราไม่เชื่อ ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าลูกเราเป็นและไม่มีทางหายมาใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ เราเชื่อว่าลูกเราไม่ได้เป็น เราเลี้ยงลูกเรามาสามปีแล้ว เราเชื่อว่าถ้าเขาเป็นเขาจะต้องหายได้ หมออาจจะวิเคราะห์ตามหลักวิชาการ แต่เขาอยู่กับลูกเราเพียงครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงนึง เขาจะตัดสินลูกเราแบบนี้ไม่ได้
เมื่อคิดแบบนั้น ครอบครัวเราก็เลยปรับตัวใหม่ คืนนั้นลูกหลับแล้ว ผมจับมือกับภรรยาบอกว่า เราจะเริ่มต้นใหม่ เราจะเลี้ยงลูกแบบใหม่ ลูกเราจะต้องหาย เขาจะไม่เป็นอะไร เราเชื่อมั่นว่าเราจะต้องทำได้ ผมร้องไห้เป็นครั้งสุดท้ายกับความผิดพลาดในการเลี้ยงลูกที่ผ่านมา แต่มันจะไม่มีอีกแล้ว ไม่มีวันที่ผมจะทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง
วันรุ่งขึ้น ผมยกทีวีออกจากห้องไป เอาเครื่องเล่นวีซีดีไปเก็บ เก็บแผ่นทั้งหลายไปให้หมด จะไม่มีทีวีในบ้านเราอีกแล้ว แน่นอนว่าลูกผมงอแงมากเพราะเขาไม่ได้ดู จากที่เคยดูมาตลอด ผมก็เลิกงานหามรุ่งหามค่ำเปลี่ยนมาใช้เวลากับเขามากขึ้น เล่นด้วยกัน วิ่ง กระโดด ร้องเพลง เล่นกีตาร์ ทำอะไรก็ได้ที่ลูกไม่ต้องนั่งนิ่งๆโดนสะกดจิตจากหน้าจอ สรุปคือ ผมต้องเหนื่อยกว่าเดิมมาก แต่ก็มีึความสุขมากเพราะได้อยู่กับลูกตลอด ลูกจะติดพ่อมาก
หลังจากอดทนมาหลายเดือน ประมาณสามขวบครึ่งลูกก็เริ่มพูดเล็กน้อย และมาพูดชัดตอนอายุสี่ขวบ ที่สำคัญคือ เขาพูดภาษาอังกฤษชัดกว่าภาษาไทย (สาเหตุเพราะตอนเด็กให้ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษตลอด) เพื่อนๆที่เจอต่างพากันแปลกใจว่าทำไมลูกเก่งอังกฤษ ผมก็ไม่ตอบอะไรมาก ที่จริงมันคือความโชคดีบนความโชคร้าย ถ้าให้แลกกันในตอนนั้นผมจะขอให้เอาภาษาอังกฤษคืนไป และเอาลูกที่พูดได้ตามวัยคืนมา
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ทีวีเป็นสาเหตุใหญ่ในการที่ลูกผมไม่พูด พอหยุดดูทีวีเขากลับพูดได้ สื่อสารรู้เรื่ิอง เล่นกับเพื่อนๆเป็น (ก่อนหน้านั้นเล่นไม่เป็น) และทุกวันนี้เล่นเก่งมาก เพราะธรรมชาติของเด็กคือการเล่น เมื่อไม่มีทีวี เขาก็ต้องหาอะไรเล่น และที่บ้านเราก็พร้อมให้เขาเล่นได้ทุกอย่างที่ไม่เป็นอันตราย แต่บ้านจะรกตลอด ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เด็กที่ได้เล่นตามธรรมชาตินั้นสำคัญที่สุด
ถ้าบ้านไหนลูกมีปัญหา หรือคุณคิดว่ามีปัญหาแต่ไม่กล้าปรึกษาใคร (ผมรู้เพราะเคยเป็นมาก่อน ทั้งอายทั้งเสียใจ) ขอให้ลองงดดูทีวีลง ไม่ถึงกับต้องเอาไปทิ้งเอาไปเก็บ แต่ลองไม่ต้องให้ความสำคัญกับมันดู เหมือนเป็นวัตถุว่างเปล่า พอเราไม่อยากดู ลูกก็จะไม่อยากดูตามเรา หาอะไรทำร่วมกันในครอบครัว ช่วยกันทำกับข้าว เดินเล่น ปั่นจักรยาน ล้างจาน ทำสวน นั่งคุยกัน เล่นกับลูก อาบน้ำ อ่านนิทาน เชื่อไหมครับว่ามีอะไรให้ทำมากมายกว่าการดูทีวีโดยที่เราคิดไม่ถึง
ถ้าแม้บ้านไหนไม่มีปัญหากับทีวีก็ดีแล้่วครับ แต่ถ้าอยากทดลองดูว่าการมีทีวีกับไม่มี แบบไหนดีกับลูกเรามากที่สุดก็ทดลองดูได้นะครับ แล้วคุณจะพบว่า ดีทุกอย่าง ดีทุกทาง มันมีจริงครับ ถ้าท่านมีข้อสงสัยสามารถโพสถามที่คอมเม้นได้เลยนะครับ ผมจะมาตอบให้ หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
เด็กเล่นตามธรรมชาติดีที่สุดครับ พาลูกไปสนามเด็กเล่นบ่อยๆนะครับ
5
itong2go: เด็กกับทีวี
ทุกคนรู้จักทีวี ตั้งแต่เราเกิดมาก็มีทีวีแล้ว การดูทีวีเป็นเรื่องปกติของทุกบ้าน บ้านใครไม่มีทีวีสมัยนี้คงต้องนับว่าแปลกมาก ข่าวสารทั้งหลายเรา...