Snowpiercer |
เวลาดูหนังเกาหลี มันจะมีมวลบางอย่างที่อึมครึม ผมเดาว่ามันคือมวลด้านศีลธรรม ที่มันจะทำให้เราไม่กล้าตัดสินถูกผิดดีเลวได้อย่างเต็มร้อย เผลอๆบางครั้งอาจเอาใจช่วยตัวร้ายเสียด้วยซ้ำไป (ลองดู I saw the Devil) ก็ยังเป็นคำถามคาใจผมว่า ผู้กำกับเกาหลีมีปมอะไรเรื่องศีลธรรมกันนักหนา แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ดีตรงที่เราต้องรอลุ้นไปจนจบเรื่อง และเป็นงานที่ท้าทายของคนเขียนบทอย่างมากด้วยเช่นกัน
Snowpiercer เล่าเรื่องคนกลุ่มสุดท้ายบนโลกที่หนาวเย็นมีแต่น้ำแข็ง และต้องอาศัยอยู่บนรถไฟที่เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา หนังไม่ได้บอกว่ามีตู้ขบวนกี่ตู้ แต่ก็คงจะยาวมากเพราะมีทุกอย่าง!อยู่ในรถไฟนั้น ตั้งแต่ สปา โรงเรียน สวนผลไม้ ร้านซูชิ หรือแม้แต่ดิสโก้เทค
ที่ไหนมีคนที่นั่นก็จะมีความวุ่นวายเป็นธรรมดาของมนุษย์ขี้เหม็น ด้วยความที่รถไฟนี้แบ่งออกเป็นชนชั้นหัวขบวน (อำมาตย์) และชนชั้นท้ายขบวน (ไพร่) จึงเป็นที่มาของเรื่องนี้ ชนชั้นหัวขบวนก็คือพวก VIP ทั้งหลาย คนรวย ชนชั้นสูง ส่วนพวกท้ายขบวนก็คือ พวกยากจน ขอขึ้นรถไฟมาฟรีๆ พวกขอทาน คนจรจัด
คนรวยมีอาหารการกินสมบูรณ์ดีทุกอย่าง ส่วนคนจนลำบากมากถึงขนาดกินกันเอง ด้วยความอนาจพวกคนรวยก็เลยแบ่งเศษขยะให้กินบ้าง และเพื่อเลี้ยงไว้เมื่อยามต้องการบางสิ่งบางอย่างจากพวกท้ายขบวน
มันคือหนังการปฏิวัติชนชั้นในโลกใบเดียวกันนั่นเอง หนังบอกว่านี่ไม่ใช่การปฏิวัติครั้งแรก มันมีมาหลายครั้งทั้งที่สำเร็จ, ไม่สำเร็จและเกือบสำเร็จ ความอดทนมันมาถึงขีดสุดเมื่อคนรวยพรากเอาบางสิ่งบางอย่างที่เหลืออยู่ของคนจนไป และเมื่อมันเกิดขึ้น หายนะก็บังเกิด
หนังเลือดสาดพอสมควร มีฉากให้ต้องอึ้งอยู่หลายครั้ง ก็โหดตามสไตล์เกาหลีแบบที่คุณต้องนั่งกุมคอตัวเองเอาไว้ให้มั่น เคมีระหว่างผู้กำกับเกาหลีและนักแสดงฮอลลีวู๊ดดูจะยังไม่เข้ากันสักเท่าไหร่ CG บางฉากหน่อมแน้มจนน่าใจหาย บททำได้ดีแต่แอบยืดเยื้อบางขณะ รวมแล้วให้ข้อคิดได้ดีกับเมืองไทยปัจจุบัน
โลกนี้จะไม่มีปัญหา ถ้าเราเห็นคนอื่นเป็นคนเหมือนกับเรา ถ้าเห็นคนอื่นเป็นขยะเมื่อไหร่ ระวังให้ดีว่ามันจะพากันฉิบหายหมด!
คะแนน 7.8/10