ไม่เข้าใจทำไมชอบมาสรุปชีวิตกันตอนสิ้นปีต้นปี ทำไมไม่สรุปกลางปีมั่ง |
เรื่องงาน
- ทำงานหลายอย่างหลายโปรเจค หลักๆคือทำรีวิวเชียงใหม่, Gomew Homestay, Pong Noi Homestay และที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ Fahthanee Cafe ตรงสามแยกฟ้าธานี- ตั้งเป้าให้รีวิวเชียงใหม่ เป็นบริษัทที่น่าทำงานด้วยที่สุดในภาคเหนือ ทั้งในแง่สถานที่ทำงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน สวัสดิการและเงินเดือน ลดอัตรา Turnover rate เน้นการเฟ้นหาทีมงานใหม่ที่มีศักยภาพมาร่วมทีมและเสริมทักษะให้ทีมงานเดิมแบบก้าวกระโดด
- ในออฟฟิศแบ่งออกเป็นหลายทีม โดยปีนี้มีการกำหนดเป้าหมาย OKR ใหม่จากเดิมเน้นแต่ที่เชียงใหม่ ขยายไปสู่การทำงานระดับประเทศ และต่างประเทศ ในออฟฟิศมีการจัด English Class และ Fri-Rang Day (Friday+Farang) ทุกวันศุกร์จะห้ามพูดไทย ห้ามพิมพ์ไทย
- ส่วนธุรกิจ Homestay ก็ได้หุ้นส่วนมาช่วยจัดการดำเนินการให้ ทำให้มีเวลาไปพัฒนาโปรเจคอื่นๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกเยอะ
- ต้นปี 2019 นี้ออฟฟิศจะย้ายไปอยู่ตึกของเราเองที่ฟ้าธานีเพื่อรองรับการขยายตัวของทีมงานที่เพิ่มขึ้น และน่าจะไปแตะ 20 คนภายในปี 2019
- ปีนี้ได้บรรยายในงานสัมมนาหลายครั้ง ทั้งงานที่เขาเชิญไปพูด (บางงานได้ค่าตัวเยอะเว่อร์) ทั้งงานที่ออฟฟิศเราจัดเอง ปีนี้ก็พูดไปสี่ห้าครั้งแล้ว ส่วนปีหน้าจะมีกิจกรรม Offline+Online เยอะกว่าปีนี้อีก ทั้งที่เขาเชิญ ทั้งที่จัดเอง และที่จัดร่วมกับ Partners ต่างๆด้วย
- เกือบลืม มีอีกเรื่องคือที่โดนลูกน้องโกงเงินไปร่วมสามแสน (ตอนหลังได้คืนแล้วแต่ยังไม่หมดเรื่องยังอยู่ที่โรงพัก) วิธีการคือ แจ้งลูกค้าให้โอนเงินเข้าบัญชีตัวเองบ้าง เก็บเงินสดลูกค้าแล้วไม่ส่งให้บริษัทบ้าง ทำจากน้อยๆจนพอกพูนขึ้นชดใช้ไม่ไหวความแตกกระจาย โดนไล่ออกกันไปตามระเบียบ
- มีอีกเรื่องของลูกน้องคนนึง คนนี้ด้วยความเห็นใจเราเชิญออกดีๆไม่ได้ไล่ออก คนนี้ไม่ได้โกงเงินแต่โกงเวลาและทรัพยากรของบริษัท คือมาทำงานไปถ่ายงานกับทีมแล้วเธอก็ถ่ายรูปไว้ด้วยมือถือแล้วเอาข้อมูลที่ได้ไปโพสลงเพจตัวเอง (ค่าใช้จ่ายทั้งหมดบริษัทเป็นคนจ่าย) เราบอกว่าเฮ้ยแบบนี้ไม่โอเค เธอก็บอกว่างั้นหนูก็ไม่โอเค ก็แยกย้ายกันไป ขอให้โชคดีจ่ะหนู
ออฟฟิศรีวิวเชียงใหม่ แหล่งรวมคนผีบ้าผีบอ สำหรับเราถือว่าทีมนี้เป็น Super Group เลยทีเดียว |
เรื่องเงิน
- เนื่องจากทำงานหลายอย่างก็เลยทำให้มีรายได้หลายทาง ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีทำให้มีเงินเพียงพอเลี้ยงดูครอบครัวและลูกๆทั้งสามคน มีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นทั้งหมด- ไม่มีหนี้สินส่วนตัวใดๆ ยกเว้นหนี้ทั่วๆไป เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ บัตรเครดิตมีใบเดียวและปิดยอดหมดทุกเดือนไม่จ่ายขั้นต่ำ ทำให้ไม่มีภาระดอกเบี้ยให้แบกรับมากนัก
- พยายามเก็บเงินทุกเดือน มากบ้างน้อยบ้างโดยเอาเงินส่วนนี้ไปลงทุนในหุ้นปันผล และกองทุนที่เน้นปันผล ลดจำนวนหุ้นในพอร์ทลงเหลือแค่สามตัว ส่วนกองทุนก็ถืออยู่สามกองทุน เมื่อได้ปันผลจะวนเอาเงินกลับมาซื้อเพิ่มอีก ตั้งเป้า Financial Freedom ในอีกห้าปีข้างหน้า (อายุ 45 ปี)
ชีวิตครอบครัว
- ปีนี้ลูกโตแล้ว ลูกชายเริ่มเป็นสิวและเสียงแตกชัดเจน ลูกสาวตัวโตตัวสูงเหมือนผู้ใหญ่ มีห้องส่วนตัวเริ่มมีโลกส่วนตัว แต่ก็ยังพูดคุยสนิทกับพ่อแม่เหมือนเดิม ส่วนตัวเล็กยังอนุบาลอยู่แต่ก็เริ่มพูดเก่งและจดจำที่พี่ๆและพ่อแม่พูดได้ทั้งหมด- สองปีมานี้ลูกไม่ค่อยได้เรียนภาษาอังกฤษ ทำให้ทักษะด้านภาษาดรอปลงไปเยอะ กำลังหาทางให้ลูกได้เรียนพิเศษ เพราะตั้งเป้าว่าพอจบม.6 เราจะส่งออกลูกไปต่างประเทศทั้งหมด
- ชีวิตคู่กับพี่มิวก็สงบสุขดีไม่มีปัญหาใดๆ ถ้าจะมีบ้างก็เป็นเรื่องงานที่ถกเถียงไม่ลงรอยกันแต่ไม่นานก็หาย ตลกดีตรงที่เราได้เรียนรู้ว่าส่วนมากที่คนเราทะเลาะกัน จะฆ่ากันตาย มักจะมีสาเหตุมาจากเรื่องเล็กน้อยทั้งสิ้น ถ้าเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ชีวิตคู่ก็ได้ไปต่อ อ้อ อ่านในเน็ตมาสัมภาษณ์เร์ แม็คโดนัล เขาบอกว่า สิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคู่ไม่ใช่ความโรแมนติคหรอก แต่มันคือ "เสียงหัวเราะ" ต่างหากล่ะ
เจ๊มิวหัวเราะสามีตลอดๆ บ้าๆบอๆก็ทำให้อยู่กันยืดยาวนะ ซีเรียสมากๆไม่น่าจะไปกันรอด |
ชีวิตส่วนตัว
- เอาจริงๆนะชีวิตหลังๆมานี้ตั้งแต่มีลูกก็สะกดคำว่าชีวิตส่วนตัวไม่เป็นแล้ว ยิ่งลูกโตขึ้นก็ยิ่งเรียกร้องเวลามากขึ้น ถ้าเราไม่ให้เวลากับเขาๆก็จะไปใช้เวลากับอย่างอื่น- ถ้าจะพอมีเวลาส่วนตัวอยู่บ้าง ก็จะมีแค่ตอนไปปั่นจักรยาน กับช่วงเวลาที่นั่งอ่านหนังสือ นอกนั้นก็เป็นเวลาที่ใช้ร่วมกับคนอื่นทั้งหมด อ้อ เวลานอนก็นับเป็นส่วนตัวได้เนอะ นอนวันละ 5-6 ชั่วโมงต่อวันฮะ
- หนังสือที่ชอบมากของปีนี้คือ Sapiens เป็นหนังสือว่าด้วยประวัติย่อของมนุษยชาติ รู้ตัวว่าหลังๆมานี้ชอบอ่านหนังสือแนวประวัติศาสตร์มากขึ้น มันทำให้เรารู้ลึกรู้จริงไม่ผิวเผิน
- ถ้าจะมีชีวิตส่วนตัวอีก ก็คงเป็นตอนที่ไปนั่งทำงานคนเดียวที่เมญ่าหรือตามร้านกาแฟ ที่จริงจะว่าส่วนตัวก็ไม่ถูกนัก เพราะก็ยังออนไลน์ติดต่อกับทีมงานอยู่ตลอดเวลาอยู่ดี
|
สุขภาพ
- ปี 2018 ปั่นจักรยานน้อยกว่าปี 2017 มากโดยเฉพาะถ้านับระยะทาง แต่ปี 2018 กลับเป็นปีที่ปั่นแบบมีคุณภาพมากขึ้น คือปั่นแบบรู้เนื้อรู้ตัว ปั่นแบบวางแผนมากขึ้น- ปีนี้เน้นกินอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นกว่าปีก่อน ส่วนใหญ่จะเน้นกินผักมากกว่าเนื้อและแป้ง ได้ทดลองกินคีโตอยู่ประมาณเดือนกว่าก็ทนไม่ไหว ร่างกายมันมึนๆแปลกๆก็เลยต้องกลับมากินแบบเดิม และค้นพบว่าคีโตไม่ได้เหมาะกับทุกคน
- ปีนี้ก็ยังกินเหล้าเยอะเหมือนเดิม แต่ไม่หนักเท่าเดิม กล่าวคือกินเยอะแต่ไม่แย่ไม่โทรมไม่ละมุดเท่าไหร่ ถึงเวลาก็เข้าไปนอน และก็เลือกกินเฉพาะเหล้าที่ซื้อจาก 7-11, Lotus, Tops, BigC เท่านั้นไม่กินเหล้าจากร้านขายส่ง พบว่าช่วยได้มากเพราะแทบจะไม่เจอเหล้าปลอมเลย
อนาคต
- มีการวางแผนงานล่วงหน้าของปี 2019 ไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังวางแผนไปถึงปี 2022 คาดว่าในเรื่องงานจะได้พบกับเรื่องน่าตื่นเต้นและแปลกใหม่อีกเยอะเลย ไม่เฉพาะชาวเชียงใหม่แต่หมายถึงทั้งประเทศไทยกันเลย- รู้สึกว่าคนสมัยนี้มองอะไรสั้นๆกันเกินไป ใช้ชีวิตไปวันๆ ยิ่งนานวัน (แก่ขึ้น) เรายิ่งรู้แน่ชัดว่าเราต้องการอะไร และยิ่งรู้สึกแปลกแยกมากขึ้นเรื่อยๆสำหรับการใช้ชีวิตในประเทศนี้ คงไม่แปลกที่จะพูดว่าอนาคตเราคงใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad 100% อย่างแน่นอน เราขอเลือกเป็นพลเมืองของโลกมากกว่าจะเป็นของประเทศใดประเทศหนึ่ง
- อนาคตเมืองเชียงใหม่ก็คงจะดีขึ้นเจริญขึ้นทันสมัยมากขึ้น แลกมาด้วยกับการรถติดมากขึ้นเพราะเมืองขยายตัวไม่ทันผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามา คนเมืองที่ยังต๊ะต่อนยอนจะอยู่อย่างลำบากทั้งการเดินทางและค่าครองชีพ ร้านเหล้าจะขายดีกว่าเดิม อุบัติเหตุร้ายแรงจะมากขึ้น คนที่รู้เนื้อรู้ตัวและอยู่เป็นถึงจะอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างปกติสุข
- ปีนี้ไม่ค่อยได้ไปโบสถ์สักเท่าไหร่ ส่วนนึงเพราะลูกเริ่มโตเราไม่อยากบังคับถ้าเขาไม่อยากไป แต่พอเขาอยู่บ้านเราก็ต้องอยู่ด้วย ก็อาศัยเปิดยูทูปฟังเอา และก็เริ่มเบื่อผู้คนที่มองว่าคนที่ไปโบสถ์เป็นพวกบ้าศาสนางมงาย คือเราเนี่ยไปเพราะเราอยากจะไปเอง ไม่มีใครบังคับใดๆ และไม่รู้สึกผิดอะไรเลยถ้าไม่ไปโบสถ์ แต่ที่ไปเพราะชอบไปฟังคำสอน มันสนุกดี มันใช้ได้จริง มันมีประโยชน์ก็เท่านั้นเอง ถ้าพูดมาถึงขนาดนี้ก็นับว่าเป็นคนไม่มีศาสนายังจะถูกต้องซะกว่า เพราะเราไม่ถือกฎเกณฑ์ข้อบังคับใดๆเลย ไม่มีผลใดๆกับเราทั้งสิ้น เราก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ Homo Sapiens คนนึงเท่านั้นเอง
- ปีหน้าจะมาสรุปให้ฟังใหม่นะ ปีนี้ดูเป็นทางการยังไงไม่รู้ ปีหน้าจะเขียนให้สนุกกว่านี้นะ พี่สัญญา555