|
สรุปชีวิตในปี 2019 |
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มทำสรุปชีวิตตอนสิ้นปีแบบนี้กันก่อน แต่ได้ลองทำมาสองปีละก็ลองทำต่อไปอีกสักปีก็แล้วกัน คนอื่นเขาเขียนกันตอนสิ้นปี ไม่อยากชนกับคนอื่นเรามาเขียนตอนต้นปีก็แล้วกัน
สุขภาพ
ซื้อ Smart Band มาลองใส่เพื่อวัด Heart Rate, Sleep วัดอะไรต่างๆนาๆนัยว่าสนใจสุขภาพมากขึ้น ก็ได้ผลนะเวลาเห็นมันอยู่ที่ข้อมือก็ทำให้ระลึกว่าเราซื้อมันมาทำไม ตอนแรกใช้ Mi Band3 ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้ Huawei Honor5 เป็นจอสีและวัดได้แม่นละเอียดกว่า ส่วนของเก่าลูกชายขอไปทำเป็นนาฬิกาปลุก
ปั่นจักรยาน
ไม่ค่อยได้ปั่นจักรยานเท่าไหร่ ทั้งปีไม่น่าจะเกินสิบครั้ง นอกจากปั่นจักรยานก็ไม่ได้ออกกำลังกายชนิดอื่นเลย ปีนี้ตั้งใจและตั้งเป็นเป้าหมายองค์กรเลยว่าสุขภาพต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
การนอน
นอนได้น้อยในแต่ละคืน ไม่เกิน 5-6 ชั่วโมง ทำให้ช่วงบ่ายจะไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ พยายามจะนอนให้เร็วขึ้นคือไม่เกินเที่ยงคืน เลทสุดไม่เกินตีหนึ่ง แต่ก็นั่นแหละทำไม่ค่อยจะได้ ต้องเอาใหม่ๆ
การกินการดื่ม
กินอาหารตามปกติแต่ไม่ค่อยจะ Healthy เท่าปีก่อนที่เช้ามาได้กินสลัดผักบ่อยๆ ก็ตั้งใจว่าจะกินผักกินปลาเยอะขึ้น กินแป้งกินเนื้อน้อยลง ส่วนการดื่มนี่น่าจะแทบทุกวันยกเว้นวันที่รู้สึกไม่สบายซึ่งเหมือนจะมีวันเดียว หลังๆมาดีขึ้นคือจะดื่มแค่แถวๆบ้านและไม่กลับดึก ถ้าอยากเมาก็จะเมาที่บ้านแล้วก็เข้านอน จะไม่เมานอกบ้านและไม่ไปนอกเขต ที่สำคัญยังต้องเมาไม่ขับ เรื่องน้ำหนักตั้งใจไม่ให้เกิน 63 กก. แต่ก็เลยมานิดๆหน่อยๆถ้าไม่ออกกำลังกายนานๆ ต้องระวังไม่ให้ลงพุงมันเสียบุคลิก
ความสัมพันธ์
กับลูกๆดีมาก ลูกโตกันหมดแล้วยกเว้นตัวเล็กที่ยังหกขวบ เป็นปีที่ต้องรับมือกับลูกที่เริ่มเป็นวัยรุ่น ทำให้เราต้องหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งยังต้องใจเย็นละวางอารมณ์ทั้งปวง พูดช้าๆฟังเยอะๆ พบว่าการหัวเราะเยอะๆมีอารมณ์ขันมากๆช่วยให้เราสนิทกับลูกได้เพิ่มขึ้น เป้าหมายคือทำให้ลูกรู้สึกว่าในแง่นึงพ่อแม่ก็เหมือนเพื่อนที่มีอะไรก็พูดคุยด้วยได้ ไม่อยากห่างเหินหรือมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดคุยกันได้ แต่ก็มีเผลอตัวดุลูกไปแรงๆครั้งนึงเหมือนกันนะเป็นตอนเช้าด้วย วันนั้นเสียใจไปทั้งวัน พอตอนเย็นเราไปรับกำลังจะพูดขอโทษแต่ลูกชิงพูดขอโทษขึ้นมาก่อน อารมณ์เหมือนในหนังเลย น้ำตาจะไหลแต่เก๊กไว้ ทำหน้านิ่งแต่จริงๆข้างในร้องแล้ว ดีจังที่ลูกกับพ่อต่างขอโทษกันและกัน ดีจริงๆนะ
กับภรรยา
เจ๊มิวได้กลับไปทำงานประจำช่วงปลายปี เวลาไปทำงานก็เลยไปใครไปมัน เจ๊เอารถยนต์ไป ส่วนเราไปมอเตอร์ไซค์ ตอนเย็นก็กลับบ้านมาเจอกันคุยกันทุกเรื่องเหมือนเดิม ยิ่งแก่ขึ้นเพื่อนก็ยิ่งน้อยลง โชคดีที่พี่มิวก็เป็นเหมือนเพื่อนสนิทกัน ส่วนมากจะคุยกันเรื่องงาน แต่ถ้าเป็นงานที่ทำด้วยกันจะทะเลาะกันทุกที555 รวมๆก็มีความสุขดีรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะอายุมากแล้ว อย่าเรื่องมากอย่าทำอะไรให้ยุ่งยาก อย่าเงื่อนไขเยอะ ให้ใช้ชีวิตง่ายๆเข้าไว้
กับน้องๆทีมงาน
ดีนะ ดีเลย ได้พาน้องหัวหน้าทีมสองคนไปดูงานคุยงานที่กรุงเทพสามคืน กลับมาน้องเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย มุมมองการทำงานไม่เหมือนเดิม เหมือนน้องๆจะเริ่มเข้าใจเรามากขึ้น555 บางอย่างต้องพาไปเจอไปสัมผัส พูดให้ฟังอย่างเดียวมันไม่เข้าใจ ส่วนน้องคนอื่นๆก็ตั้งใจทำงานดี มีเรื่องน่าเสียใจคือต้องลดคนเพราะจ้างไว้ทั้งหมดไม่ไหว ช่วงนั้นเครียดหัวหงอกหัวหงิกเลยล่ะ แต่ก็ผ่านมาได้แหละ ทุกวันนี้ก็ยังบาดเจ็บอยู่ มันทำให้รู้สึกเหวอๆป๊อดๆได้เหมือนกันนะเรื่อง Sensitive แบบนี้ แต่ก็ได้บทเรียนหลายอย่างเลยล่ะ คงเหมือนที่เขาว่า ถ้าไม่เจ็บปวดก็ไม่เติบโต ก็ดีนะแต่โดนบ่อยๆก็ไม่ไหวน่ะไม่ได้ชอบแบบนี้
กับคนรอบข้าง
ไม่ค่อยได้เจอคนอื่นสักเท่าไหร่ ไม่ไปออกงาน ไม่ไปปาร์ตี้งานสังคมใดๆ ถ้าจะเจอใครบ้างก็เจอโดยบังเอิญ มีเพื่อนที่สนิทๆกันเจอกันบ่อยๆไม่กี่คน ส่วนมากก็เจอกันเพราะพาลูกมาทำกิจกรรมมาเล่นกัน กับช่วงที่เปิดร้านทำร้าน ตอนนั้นอยู่ร้านบ่อยก็จะเจอคนเยอะหน่อย ข้อเสียคือชอบจำชื่อคนไม่ได้ เสียมารยาทมากๆต้องแก้ไขเรื่องนี้ด่วนๆ หัวมันไม่ยอมจำอ่ะ บางทีก็เหมือนจะหัวดีนะแต่ไม่รู้ทำไมจำชื่อคนไม่ค่อยได้ สรุป ไม่ค่อยได้เจอใคร เฟซบุ๊คก็เล่นน้อยมาก พบว่าตัวเองเบื่อการรู้เรื่องของคนอื่นน่ะ แต่ก็ยังชอบอ่านเพจที่มีคอนเท้นดีๆอยู่นะ
เรื่องงาน
นี่จัด Priority เหมือนที่ตั้ง Key Competency ของออฟฟิศเลยคือ สุขภาพ ความสัมพันธ์ และสุดท้ายคืองาน
งานออฟฟิศรีวิว
อย่างที่บอกข้างบนคือมีการลดคนในทีมลง ส่งผลให้ทีมเล็กลงคนเหลือน้อยลง ห้องออฟฟิศดูใหญ่กว้างขวางมากเพราะไม่มีคน คนที่ยังอยู่ส่วนมากก็ชอบทำงานแบบ Remote Work เพราะมันสะดวกกว่า มาออฟฟิศก็ดีแหละเน็ตเร็วดีแต่ก็มีที่จอดรถน้อย ตอนนี้ลามมาถึงที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ละ ส่วนเนื้องานพอ Resize องค์กรก็มีการปรับนิดหน่อยคืองานก็จะไปโหลดกับคนที่ยังอยู่มากขึ้น แต่ก็ทำกันได้นะแปลกดี พอเริ่มปีใหม่มานี้ก็ปรับอีกนิดหน่อย ก็รู้สึกว่าลงตัวนะ ละก็มีการไป Partner กับองค์กรอื่นมากขึ้นกว่าเดิม แนวโน้มก็น่าจะดีแหละถ้าไม่ทะเลาะกับเขาซะก่อนนะ555 คงไม่หรอกแก่แล้วเก็บแรงไว้ลุยงานดีกว่า
ร้านฟ้าธานี
อันนี้หนักสุดของปีนี้แล้ว ผิดคาดไปหมดทุกอย่าง ทั้งร้านกาแฟ ทั้ง Co-Working ทั้งที่พัก ลองหมดทุกกระบวนท่าแล้วก็ยังเข็นไม่ขึ้น จนสุดท้ายต้องปิดโซนกลางวันเพราะต้นทุนสูงกว่าใครเพื่อน ลองมาทำแต่กลางคืนก็ยังลุ่มๆดอนๆ ทรงไม่ค่อยดีเลย ดีที่มีออฟฟิศเช่าพื้นที่ชั้นสองกับน้องอีกคนมาเช่าพักรายเดือน เลยทำให้มีแรงกระดึ๊บไปได้อีกหน่อย นี่เพิ่งไปคุยเรื่องค่าเช่ากับคุณป้าเจ้าของมา ถ้าเขาให้คำตอบก็คงจะชัดเจนแล้วล่ะว่าจะยังไงต่อดี แต่ไม่ว่าจะยังไงบอกตามตรงเลยว่าเข็ดกับโลก Offline มาก มันไม่ใช่โลกที่เราถนัดเลย ถนัด Online ก็ไปอยู่บน Online น่ะดีแล้ว เชื่อพี่
Homestay
มีทั้งหมดสี่หลัง ทั้งที่ทำเองและหุ้นกับเพื่อนคือ โป่งน้อย 1&2, โกมิว โฮมสเตย์ และฟ้าธานีคาเฟ่แอนด์เบด ความขายดีและไม่ดีเรียงลำดับตามนั้นเลย โดยเฉพาะอันสุดท้ายนี่เข็นลำบากมาก ขายยากกว่าใครเพื่อน คนที่มาพักแต่ละคนก็แนวอินดี้เหลือเกินไม่ใช่คนธรรมดาทั้งสิ้น ส่วนบ้านโกมิวก็ถือว่าขายได้น้อยแต่ก็ถึงกับไม่เงียบสนิทซะทีเดียว ส่วนสองอันแรกนั้นติดลมบนไปแล้ว ปีหน้าอาจจะทำ โป่งน้อย3 ถ้าหุ้นส่วนเห็นตรงกันนะ
งานพูดงานบรรยาย
ปีนี้น้อยลงไปกว่าปีก่อน แต่สนุกกว่าปีก่อนเนื่องจากอัพ slide ใหม่ๆเยอะประกอบกับไม่เกร็งอะไรทั้งสิ้นแล้ว เปิดเบียร์กินไปพร้อมคนฟังเลย555 สนุกนะโดยเฉพาะครั้งล่าสุดที่เป็นงานของ Google อันนั้นชอบ กับที่พูดกับทีมงานตอน Town Hall ปลายปีอันนั้นก็ดี เสียดายไม่ได้ถ่ายคลิปเก็บไว้ หัวหน้าทีมเตรียมตัวมาดีทุกคนเลย
หุ้นกองทุนต่างๆ
ไม่ได้ติดตามเลย และก็ไม่ได้ทั้งซื้อเพิ่มและขายอะไรทิ้ง ยกเว้นแต่ซื้อ DCA คือซื้อกองทุนเฉลี่ยทุกเดือนโดยไม่ดูราคา ออกแนวเหมือนหยอดกระปุกมากกว่า ส่วนนึงที่ไม่ดูก็เพราะไม่อยากจิตตกด้วยแหละ คนเราอ่ะนะถ้าหุ้นขึ้นเราก็จะดีใจจิตใจพองโตโลกสวยงาม แต่ถ้าหุ้นตกแดงเถือกก็จะทุกข์ใจกลุ้มใจ ไม่อยากอยู่ในมู้ดแบบนั้นก็เลยตัดใจไม่ดูแม่มเลยเพราะไหนๆก็ไม่คิดจะขายอยู่แล้ว สรุป ถือหุ้นอยู่สองตัวและกองทุนสองกอง เท่ากับปีก่อนหน้าเป๊ะเลย
จบละ ปีหน้าก็คงจะเขียนอีก ถ้าชอบอ่านแบบนี้รอปีหน้านะจ๊ะ ของปีก่อนๆค้นดูใน Blog ได้เลยจ้า